ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

BUS702 DBA09 SPU ทฤษฏีการจัดการการตลาดชั้นสูงและแนวคิดเชิงปฏิบัติ บทที่ 1.ภาพรวมเกี่ยวกับการตลาด

BUS702 ทฤษฏีการจัดการการตลาดเชิงกลยุทธ์ชั้นสูง และแนวคิดเชิงปฏิบัติ
Advanced Theories of Strategic Marketing Management

นำเสนอ รศ.ดร.วิชิต อู่อ้น 
DBA. (Management)  DIBA. (International Business)
โดย นางสาวพัชรินทร์ บุญสวัสดิ์ DBA09 (60560194)
นักศึกษาปริญญาเอกด้านการจัดการ หลักสูตร บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม
**********************************************************************

บทที่ 1
ภาพรวมเกี่ยวกับการตลาด


1. วิวัฒนาการทางการตลาด (Marketing Development)
โดยการตลาดมีวิวัฒนาการในรูปแบบของแนวคิดทางการตลาดจนถึงปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 6 ยุคดังนี้คือ
วิวัฒนาการยุคที่ 1 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่เน้นการผลิตหลัก (The Production Concept) ในยุคนี้เป็นยุคที่สินค้าในท้องตลาดมีจำนวนน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค นักการตลาดต้องสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคต่อตัวสินค้าค่อนข้างมาก ในยุคนี้ผู้ประกอบการจะมุ่งเน้นการผลิตสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดเพื่อทำให้ลูกค้ารู้จักตัวสินค้า การกำหนดราคาส่วนใหญ่ขึ้นกับอำนาจการต่อรองระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ โดยการจัดจำหน่ายจะมุ้งเน้นการสร้างการรับรู้ในการใช้สินค้า ซึ่งในยุคนี้หากเรายังจำได้กาส่งเริมการตลาดในยุคนี้ จะเน้นการสร้างการทดลองใช้สินค้าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างทันที โดยเครื่องมือทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ที่เราจำได้ก็ได้แก่การายหนังเร่พร้อมกับการขายสินค้านั้นเอง
วิวัฒนาการยุคที่ 2 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่เน้นประโยชน์ที่ได้รับจากตัวผลิตภัณฑ์ (The Product Concept) ยุคนี้สินค้าเริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ผู้บริโภครูจักการใช้สินค้ามากขึ้น โดยการเลือกใช้สินค้าผู้บริโภคจะมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ต้องจ่าย ยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นในการนำสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด เช่นแต่เดิมผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้าจะเป็นก้อนแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์แบบผงแทนและได้รับความนิยมอย่างสูง จนแบบเดิมหายไปซึ่งยุคนี้การจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้ายังอยู่ในวงจำกัด และกิจการไม่จำเป็นต้องมีวิธีการในการส่งเสริมการขายมากนักเพียงแต่เน้นการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการของลูกค้าก็พอ
วิวัฒนาการยุคที่ 3 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการขายเป็นหลัก (The Selling Concept or Sales Concept) ยุคนี้เป็นยุคที่มีการแข่งขันที่สูงเนื่องด้วยจำนวนสินค้าและบริการมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นนักการตลาดจึงเน้นการแข่งขันกันมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางด้านสินค้า ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด ยุคนี้เป็นยุคที่นักการตลาดใช้เป้าหมายในเรื่องของยอดขายเป็นหลัก ทำให้นักการตลาดมุ่งเน้นแต่การขายและขายเพียงอย่างเดียวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายจนลืมความสำคัญของนักการตลาดที่ดีไป
วิวัฒนาการยุคที่ 4 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการตลาดเป็นหลัก (The Marketing Concept) เป็นยุคที่นักการตลาดเน้นกิจกรรมทางการตลาดที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยการตลาดยุคนี้จะถือว่าความต้องการของลูกค้าเป็นพระเจ้า อะไรที่ลูกค้าต้องการนักการตลาดจะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า โดยนักการตลาดในยุคนี้จะเน้นการสร้างความแตกต่างในกิจกรรมทางการตลาด การนำเสนอสิ่งที่ต้นทุนต่ำเมื่อลูกค้าเทียบกับราคาที่จ่าย รวมถึงการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างทั่วถึงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
วิวัฒนาการยุคที่ 5 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม (The Societal Marketing Concept) ยุคนี้จะเป็นยุคที่นักการตลาดเน้นความรับผิดชอบเพิ่มเติมจากการสร้างความพึงพอใจ และความสุขให้กับผู้บริโภคโดยเน้นกิจกรรมทางการี่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อ สร้างความแตกต่างในความรู้สึก และความผูกพันต่อผู้บริโภคมากกว่าคู่แข่งขัน
วิวัฒนาการยุคที่ 6 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นนวัตกรรมทางการตลาด (The Marketing Innovation Concept) จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันอะไร ๆ ก็ต้อง IT การตลาดยุคปัจจุบันนี้นักการตลาดการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการทำการตลาดมากขึ้นทำให้กลยุทธ์ทางการตลาดใหม่เเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนักการตลาดจะให้ความสำคัญต่อฐานของมูลของลูกค้าและทำให้โลกทางด้านการตลาดแคบลงอย่างมาก

2. ความหมายของการตลาด (Marketing Defined)
การตลาดจะหมายถึง กิจกรรมที่ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอสูงสุด และกำไรจะเกิดขึ้นในระยะยาวสำหรับธุรกิจ
ซึ่งความพึงพอใจของผู้บริโภคเราวัดจากอะไรได้บ้างในมุมมองของนักการตลาดในปัจจุบัน เราจะพบว่าความพึงพอใจของผู้บริโภคเราจะวัดจากรูปธรรมที่วัดได้ ถามว่ารูปธรรมที่วัดได้ เราวัดความพึงพอใจของผู้บริโภคเราวัดจากอไร ง่าย ๆ ครับ เราจะวัดจากการตัดสินใจซื้อนั้นเอง หลายคนถามว่า บางครั้งผู้บริโภคซื้อ แต่ซื้อไปบ่นไป ถามว่าลูกค้าพอใจหรือเปล่า ในฐานะที่เราเป็นนักการตลาดเราถือว่า ถ้าซื้อเมื่อไร ลูกค้าพอใจทันที่ครับมุมมองการตลาดของลูกค้ากับนักการตลาดจะมีความแตกต่างกันนะครับ โดยหากเป็นมุมมองของนักการตลาด เราจะคุ้นเคยกันดีกับคำว่า 4 P และมุมมองของลูกค้าเราจะรู้จักกันใน 4 C นั้นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้ง 4 P’s และ 4 C’s จะมีมุมมองที่เหมือนกันแต่จะต่างกันในแง่ที่ใครเป็นคนมองนั้นเอง ซึ่งในที่นี้จะเปรียบเทียบให้เห็นได้ดังนี้

มุมมองของนักการตลาด
1.ผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการ(Product)
2.การตั้งราคาที่เหมาะสม(Price)
3.ระบบจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้า(Place)
4.การส่งเสริมการตลาดได้ดึงดูดใจ(Promotion)

มุมมองลูกค้า
1.  ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ (Customer)
2.  ซื้อในราคาย่อมเยา (Cost)
3.  สะดวกในการหาซื้อ (Convenience)
4.  การสื่อสารทางการตลาด (Communication)
จะเห็นได้ว่านักการตลาดจะสร่าสนประสมทางการตลาดขึ้นมาเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคและหาวิธีการที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดการตัดสินใจซื้อ ในมุมมองระหว่าง 4 P กับ 4 C สัมพันธ์กันดังนี้
P ตัวแรกคือ P-Product นักการตลาดจะแสวงหาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นในเรื่องรสชาติ คุณประโยชน์ของสินค้า ฯลฯ ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้เมื่อนักการตลาดสร้างขึ้นจะทำให้ผู้บริโภครับรู้และเกิดความต้องการซื้อเมื่อลูกค้าเกิดความต้องการดังนั้น P แรกจึงสัมพันธ์กับ C ตัวแรกก็คือ C-Customer นั้นเอง C ตัวแรกนี้จะแสดงให้เห็นถึงมุมมองของลูกค้าในการตัดสินใจซื้อสินค้า ลูกค้าจะต้องแน่ใจว่าสินค้าเหล่านั้นเมื่อซื้อไปแล้วจะต้องตอบสนองในสิ่งที่ลูกค้าต้องการนั้นเอง
P ตัวที่สองคือ P-Price นักการตลาดจะต้องมีการกำหนดราคาสินค้าและบริการให้เหมาะสม โดยในความเหมาะสมนี้นักการการตลาดส่วนใหญ่จะเน้นที่ต้นทุนและกำไรที่ต้องการ โดยต้องสอดคล้องกับ C ตัวที่สองของลูกค้า นั้นคือ C-Cost นั้นเองโดยลูกค้าเมื่อซื้อสินค้า จะคำนึงถึงการซื้อสินค้าในราคาที่ย่อมเยาและเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าที่จะจ่าย
P ตัวที่สามคือ P-Place ใน P นี้นะครับนักการตลาดหลายคนให้ความสำคัญแค่เพียง
Place ที่เป็นสถานที่เท่านั้นแต่ในความเป็นจริงแล้ว P-Place ยังประกอบไปด้วยช่องทางการจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้า โดยอาจจะผ่านตัวกลาง ตัวแทน และนายหน้า เพื่อทำลูกค้ามีความสะดวกต่อการตัดสินใจซื้อซึ่งก็สอดคล้องกับ C ตัวที่สามในมุมมองผู้บริโภคคือ C-Convenience to Buy นั้นเอง
P ตัวสุดท้ายครับ P-Promotion เป็น P ที่เราทราบกันดีในชื่อของการส่งเสริมการตลาดซึ่งประกอบไปด้วย การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย การขายโดยพนังงานขาย และ การตลาดแบบตรงนั้นเอง โดยนักการตลาดจะมุ่งเน้นการส่งเสริมการตลาดไปยังกลุ่มลูกค้า โดยใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการสื่อสาร และจะสอดคล้องกับ C ตัวที่สี่ ในมุมมองของผู้บริโภคคือ C-Communication ที่เป็นการสื่อสารทางการตลาดที่ผ่านสื่อทั้งภาพ เสียง สิ่งพิมพ์ และสื่อบุคคล เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข่าวสารจากนักการตลาดนั้นเอง

3. วิวัฒนาการของแนวความคิดทางการตลาด (Marketing Concept)


โดยการตลาดมีวิวัฒนาการในรูปแบบของแนวคิดทางการตลาดจนถึงปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 6 ยุคดังนี้คือ
วิวัฒนาการยุคที่ 1 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่เน้นการผลิตหลัก (The Production Concept) ในยุคนี้เป็นยุคที่สินค้าในท้องตลาดมีจำนวนน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค นักการตลาดต้องสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคต่อตัวสินค้าค่อนข้างมาก ในยุคนี้ผู้ประกอบการจะมุ่งเน้นการผลิตสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดเพื่อทำให้ลูกค้ารู้จักตัวสินค้า การกำหนดราคาส่วนใหญ่ขึ้นกับอำนาจการต่อรองระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ โดยการจัดจำหน่ายจะมุ้งเน้นการสร้างการรับรู้ในการใช้สินค้า ซึ่งในยุคนี้หากเรายังจำได้กาส่งเริมการตลาดในยุคนี้ จะเน้นการสร้างการทดลองใช้สินค้าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างทันที โดยเครื่องมือทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ที่เราจำได้ก็ได้แก่การายหนังเร่พร้อมกับการขายสินค้านั้นเอง
วิวัฒนาการยุคที่ 2 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่เน้นประโยชน์ที่ได้รับจากตัวผลิตภัณฑ์ (The Product Concept) ยุคนี้สินค้าเริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ผู้บริโภครูจักการใช้สินค้ามากขึ้น โดยการเลือกใช้สินค้าผู้บริโภคจะมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ต้องจ่าย ยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นในการนำสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด เช่นแต่เดิมผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้าจะเป็นก้อนแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์แบบผงแทนและได้รับความนิยมอย่างสูง จนแบบเดิมหายไปซึ่งยุคนี้การจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้ายังอยู่ในวงจำกัด และกิจการไม่จำเป็นต้องมีวิธีการในการส่งเสริมการขายมากนักเพียงแต่เน้นการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการของลูกค้าก็พอ
วิวัฒนาการยุคที่ 3 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการขายเป็นหลัก (The Selling Concept or Sales Concept) ยุคนี้เป็นยุคที่มีการแข่งขันที่สูงเนื่องด้วยจำนวนสินค้าและบริการมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นนักการตลาดจึงเน้นการแข่งขันกันมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางด้านสินค้า ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด ยุคนี้เป็นยุคที่นักการตลาดใช้เป้าหมายในเรื่องของยอดขายเป็นหลัก ทำให้นักการตลาดมุ่งเน้นแต่การขายและขายเพียงอย่างเดียวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายจนลืมความสำคัญของนักการตลาดที่ดีไป
วิวัฒนาการยุคที่ 4 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการตลาดเป็นหลัก (The Marketing Concept) เป็นยุคที่นักการตลาดเน้นกิจกรรมทางการตลาดที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยการตลาดยุคนี้จะถือว่าความต้องการของลูกค้าเป็นพระเจ้า อะไรที่ลูกค้าต้องการนักการตลาดจะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า โดยนักการตลาดในยุคนี้จะเน้นการสร้างความแตกต่างในกิจกรรมทางการตลาด การนำเสนอสิ่งที่ต้นทุนต่ำเมื่อลูกค้าเทียบกับราคาที่จ่าย รวมถึงการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างทั่วถึงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
วิวัฒนาการยุคที่ 5 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม (The Societal Marketing Concept) ยุคนี้จะเป็นยุคที่นักการตลาดเน้นความรับผิดชอบเพิ่มเติมจากการสร้างความพึงพอใจ และความสุขให้กับผู้บริโภคโดยเน้นกิจกรรมทางการี่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อ สร้างความแตกต่างในความรู้สึก และความผูกพันต่อผู้บริโภคมากกว่าคู่แข่งขัน
วิวัฒนาการยุคที่ 6 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นนวัตกรรมทางการตลาด (The Marketing Innovation Concept) จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันอะไร ๆ ก็ต้อง IT การตลาดยุคปัจจุบันนี้นักการตลาดการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการทำการตลาดมากขึ้นทำให้กลยุทธ์ทางการตลาดใหม่เเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนักการตลาดจะให้ความสำคัญต่อฐานของมูลของลูกค้าและทำให้โลกทางด้านการตลาดแคบลงอย่างมาก

4. ความสำคัญของการตลาด (The Importance of Marketing)
โดยทั่วไปในความหมายของคำว่า ตลาด ในมุมมองของนักการตลาดจะมีความสำคัญมาก เพราะตลาดที่จะกล่าวถึง จะเป็นที่ ๆ นักการตลาดได้พบกับลูกค้านั้นเอง ดังนั้นหากนักการตลาดสามารถศึกษาถึงความสำคัญของตลาดแล้ว นักการตลาดก็สามารถทราบความต้องการของลูกค้าในตลาดนั้นเองในที่นี้จะแบ่งตลาดออกเป็น 4 ประเภทหลักๆดังนี้
ตลาดประเภทที่ 1 ตลาดผู้บริโภค (Consumer Market) เป็นตลาดที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปใช้เอง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดของนักการตลาดจะต้องคำนึงถึงการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเฉพาะบุคคลดังนั้นนักการตลาดต้องศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเป็นหลัก
ตลาดประเภทที่ 2 ตลาดอุตสาหกรรม (Industrial Market) เป็นตลาดที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปแล้ว นำไปดำเนินการอื่น ๆ ต่อ เช่น ซื้อสินค้าไปเพื่อขายต่อ นำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิต หรือนำไปใช้สำนักงานเป็นต้น โดยตลาดสินค้าแบบนี้เราอาจจะเรียกว่า ตลาดผู้ผลิต หรือ ตลาดธุรกิจก็ได้ ดังนั้นนักการตลาดจะต้องศึกษาพฤติกรรมการซื้อขององค์การเป็นหลัก (Organizational buyer’s behavior) เพราะบุคคลที่ทำหน้าที่ในการจัดซื้อ จะซื้อสินค้าเหล่านี้ในลาดโดยจะคำนึงถึงนโยบายของบริษัทเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่สินค้าในตลาดนี้จะแข่งขันกันในเรื่องการบริการ
ตลาดประเภทที่ 3 ตลาดรัฐบาล (Government Market) ตลาดประเภทนี้นักการตลาดบางท่านอาจจัดรวมเข้ากับประเภทที่ 2 แต่สำหรับความคิดของผม ผมคิดว่าน่าจะแยกครับ เพราะการซื้อสินค้าการภาครัฐแบบนี้ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่พิเศษ แตกต่างจากการซื้อสินค้าของเอกชน เพราะโดยส่วนใหญ่ภาครัฐจีการจัดซื้อ จัดจ้าง ที่เป็นลักษณะเฉพาะ โดยในแต่ละหน่วยงาน จะมีวิธีการที่คล้าย ๆ กัน ตามที่นโยบายกลางเป็นผู้กำหนด ดังนั้นนักการตลาดจะต้องทำความเข้าใจในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ดี มิฉะนั้นอาจเกิดความเสียหายกับบริษัทได้
ตลาดประเภทที่ 4 ตลาดระหว่างประเทศ (International Market) เป็นตลาดประเภทสุดท้ายครับ โดยตลาดนี้จะเป็นตลาดของภาครัฐหรือเอกชนก็ได้ ทั้งที่ลูกค้าซื้อไปใช้เองหรือซื้อไปขายต่อก็ได้ แต่ แนวคิดหลักของตลาดแบบนี้จะอยู่ที่ กลุ่มลูกค้าจะไม่ใช่ คนไทย หรือถ้าเป็นคนไทยก็ต้องเป็นคนไทยที่อยู่ในตลาดต่างประเทศ ตลาดแบบนี้นักการตลาด ควรวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในตลาดต่างประเทศให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องวัฒนธรรมของลูกค้าในประเทศ นั้นเพราะ วัฒนธรรมของลูกค้าในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน และย่อมส่งผลต่อการซื้อที่แตกต่างกันด้วย

5. หน้าที่ทางการตลาด (Marketing Function)
หน้าที่แรก ที่นักการตลาดต้องคำนึงถึงครับคือหน้าที่ในการวางแผนทางการตลาดครับโดยการวางแผนการตลาดสิ่งที่จะทำให้การวางแผนทางการตลาดประสบความสำเร็จนักการตลาดจะต้องมีข้อมูลสาระสนเทศทางการตลาดที่ถูกต้องเพื่อนำมาใช้ในการตลาดในที่นี้นักการตลาดจะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและเม่นยำในการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลนั้นนักการตลาดจะใช้วิธีการวิจัยตลาดมาเป็นหลักเกณฑ์ในการหาข้อมูลทั้งข้อมูลปฐมภูมิและข้อมูลฑุติยภูมิโดยทั่วไปนักการตลาดแบ่งข้อมูลออกเป็น 4 ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 ข้อมูลที่นักการตลาดเรียกว่า Database เป็นข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่นักการตลาดมีอาจจะใช้เมื่อไรก็ได้ และยิ่งมีมากเท่าไรเวลาที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้จะเป็นประโยชน์มากโดยทั่วไปเราเรียกข้อมูลประเภทนี้ว่าข้อมูลดิบนั้นเอง
ระดับที่ 2 ข้อมูลที่เราเรียกว่า Information หลายคนเรียกข้อมูลสารสนเทศ จริง ๆ แล้ว หากเราเปรียบข้อมูลเหมือนข้าวที่อยู่ในถุงยังไม่ได้หุง เราเรียกว่า Database แต่ถ้าเรานำข้าวสารมาใส่หม้อหุงข้าว ใส่น้ำ กดไฟ และเป็นข้าวที่เราพร้อมที่จะบริโภคเราเรียกข้อมูลเหล่านี้ว่าข้อมูลสารสนเทศในการวิจัยตลาดนั้นเอง
ระดับที่ 3 ข้อมูลที่เราเรียกว่า Knowledge เป็นข้อมูลที่สร้างเป็นองค์ความรู้ให้กับนักการตลาด เพื่อนำมาในการวางแผนการตลาดนั้นเอง
ระดับสุดท้าย เป็นข้อมูลที่นักการตลาดเรียกว่า Knowledge Management หรือ KM นั้นเอง ซึ่งข้อมูลประเภทนี้นักการตลาดจะสามารถนำไปใช้ในการอภิปรายผลและประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเอง
ส่วนหน้าที่ที่สอง  ของการตลาดการปฎิบัติการทางการตลาด หลังจากที่มีการวางแผนแล้วนักการตลาดจะต้องมีการปฎิบัติตามแผนที่วางแผนไว้ โดยการดำเนินการทางการตลาดจะประกอบไปด้วย การซื้อ การขาย การเก็บรักษาสินค้า การรักษามาตรฐานและระดับคุณภาพของสินค้า การขาย การขนส่ง การเงิน และ การรับประกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการทางการตลาดในหน้าที่นี้เป็นการดำเนินการที่ฝ่ายการตลาดจะมีหน้าที่ในการแปลงจากการวางแผนทางการตลาดเป็นการดำเนินการทางการตลาดโดยในระยะนี้จะเป็นระยะที่ผู้จัดการทางการตลาด    

6. ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix)









ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

BA09 SPU ทฤษฏีการจัดการการตลาดชั้นสูงและแนวคิดเชิงปฏิบัติ บทที่ 2. สภาพแวดล้อมทางการตลาด

B US702  ทฤษฏีการจัดการการตลาดเชิงกลยุทธ์ชั้นสูง   และแนวคิดเชิงปฏิบัติ Advanced Theories of Strategic Marketing Management นำเสนอ   รศ.ดร.วิชิต   อู่อ้น   DBA. (Management)  DIBA. (International Business) โดย   นางสาวพัชรินทร์   บุญสวัสดิ์   DBA09 (60560194) นักศึกษาปริญญาเอกด้านการจัดการ   หลักสูตร   บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต   มหาวิทยาลัยศรีปทุม ********************************************************************** บทที่  2 สภาพแวดล้อมทางการตลาด สิ่งแวดล้อมทางการตลาด  (The Marketing Environment)  หมายถึง   บุคคลหรือพลังผลักดันที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการบริหารการตลาด   ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้หรือควบคุมได้เพียงบางส่วน   ดังนั้นบริษัทที่จะสามารถประสบความสำเร็จทางการแข่งขันได้นั้น จะต้องคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ   และคอยปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น   สิ่งแวดล้อมทางการตลาด   แบ่งเป็น  2  ประเภทใหญ่ๆ ...

DBA09 SPU ทฤษฏีการจัดการการตลาดชั้นสูงและแนวคิดเชิงปฏิบัติ บทที่ 3. การจัดการการตลาด

B US702  ทฤษฏีการจัดการการตลาดเชิงกลยุทธ์ชั้นสูง   และแนวคิดเชิงปฏิบัติ Advanced Theories of Strategic Marketing Management นำเสนอ   รศ.ดร.วิชิต   อู่อ้น   DBA. (Management)  DIBA. (International Business) โดย   นางสาวพัชรินทร์   บุญสวัสดิ์   DBA09 (60560194) นักศึกษาปริญญาเอกด้านการจัดการ   หลักสูตร   บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต   มหาวิทยาลัยศรีปทุม ********************************************************************** บทที่  3 การจัดการการตลาด การจัดการการตลาด   (Marketing Management)  ประกอบไปด้วย 1. การวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด (Strategic Marketing Planning) การวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดประกอบไปด้วย 10 ขั้นตอน - การวิเคราะห์ภาพรวมของบริษัท - การวิเคราะห์ลูกค้าเดิม - การวิเคราะห์คู่แข่งขัน - การวิเคราะห์สถานการณ์ทางการตลาด - การวิจัยตลาด - การกำหนดแนวทางทางการตลาด - การกำหนดนโยบายทางการตลาด - การสร้างทางเลือก และการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด - การกำหนดยุทธวิธีทางการตลาด - การกำ...

รีวิว หนังสือ re: digital การตลาดยุคใหม่เจาะใจลูกค้า