BUS702 ทฤษฏีการจัดการการตลาดเชิงกลยุทธ์ชั้นสูง และแนวคิดเชิงปฏิบัติ
Advanced Theories of Strategic Marketing Management
นำเสนอ รศ.ดร.วิชิต อู่อ้น
DBA. (Management) DIBA. (International Business)
โดย นางสาวพัชรินทร์ บุญสวัสดิ์ DBA09 (60560194)
นักศึกษาปริญญาเอกด้านการจัดการ หลักสูตร บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม
**********************************************************************
บทที่ 1
ภาพรวมเกี่ยวกับการตลาด
1. วิวัฒนาการทางการตลาด (Marketing Development)
โดยการตลาดมีวิวัฒนาการในรูปแบบของแนวคิดทางการตลาดจนถึงปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 6 ยุคดังนี้คือ
วิวัฒนาการยุคที่ 1 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่เน้นการผลิตหลัก (The Production Concept) ในยุคนี้เป็นยุคที่สินค้าในท้องตลาดมีจำนวนน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค นักการตลาดต้องสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคต่อตัวสินค้าค่อนข้างมาก ในยุคนี้ผู้ประกอบการจะมุ่งเน้นการผลิตสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดเพื่อทำให้ลูกค้ารู้จักตัวสินค้า การกำหนดราคาส่วนใหญ่ขึ้นกับอำนาจการต่อรองระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ โดยการจัดจำหน่ายจะมุ้งเน้นการสร้างการรับรู้ในการใช้สินค้า ซึ่งในยุคนี้หากเรายังจำได้กาส่งเริมการตลาดในยุคนี้ จะเน้นการสร้างการทดลองใช้สินค้าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างทันที โดยเครื่องมือทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ที่เราจำได้ก็ได้แก่การายหนังเร่พร้อมกับการขายสินค้านั้นเองวิวัฒนาการยุคที่ 2 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่เน้นประโยชน์ที่ได้รับจากตัวผลิตภัณฑ์ (The Product Concept) ยุคนี้สินค้าเริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ผู้บริโภครูจักการใช้สินค้ามากขึ้น โดยการเลือกใช้สินค้าผู้บริโภคจะมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ต้องจ่าย ยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นในการนำสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด เช่นแต่เดิมผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้าจะเป็นก้อนแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์แบบผงแทนและได้รับความนิยมอย่างสูง จนแบบเดิมหายไปซึ่งยุคนี้การจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้ายังอยู่ในวงจำกัด และกิจการไม่จำเป็นต้องมีวิธีการในการส่งเสริมการขายมากนักเพียงแต่เน้นการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการของลูกค้าก็พอ
วิวัฒนาการยุคที่ 3 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการขายเป็นหลัก (The Selling Concept or Sales Concept) ยุคนี้เป็นยุคที่มีการแข่งขันที่สูงเนื่องด้วยจำนวนสินค้าและบริการมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นนักการตลาดจึงเน้นการแข่งขันกันมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางด้านสินค้า ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด ยุคนี้เป็นยุคที่นักการตลาดใช้เป้าหมายในเรื่องของยอดขายเป็นหลัก ทำให้นักการตลาดมุ่งเน้นแต่การขายและขายเพียงอย่างเดียวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายจนลืมความสำคัญของนักการตลาดที่ดีไป
วิวัฒนาการยุคที่ 4 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการตลาดเป็นหลัก (The Marketing Concept) เป็นยุคที่นักการตลาดเน้นกิจกรรมทางการตลาดที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยการตลาดยุคนี้จะถือว่าความต้องการของลูกค้าเป็นพระเจ้า อะไรที่ลูกค้าต้องการนักการตลาดจะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า โดยนักการตลาดในยุคนี้จะเน้นการสร้างความแตกต่างในกิจกรรมทางการตลาด การนำเสนอสิ่งที่ต้นทุนต่ำเมื่อลูกค้าเทียบกับราคาที่จ่าย รวมถึงการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างทั่วถึงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
วิวัฒนาการยุคที่ 5 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม (The Societal Marketing Concept) ยุคนี้จะเป็นยุคที่นักการตลาดเน้นความรับผิดชอบเพิ่มเติมจากการสร้างความพึงพอใจ และความสุขให้กับผู้บริโภคโดยเน้นกิจกรรมทางการี่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อ สร้างความแตกต่างในความรู้สึก และความผูกพันต่อผู้บริโภคมากกว่าคู่แข่งขัน
วิวัฒนาการยุคที่ 4 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการตลาดเป็นหลัก (The Marketing Concept) เป็นยุคที่นักการตลาดเน้นกิจกรรมทางการตลาดที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยการตลาดยุคนี้จะถือว่าความต้องการของลูกค้าเป็นพระเจ้า อะไรที่ลูกค้าต้องการนักการตลาดจะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า โดยนักการตลาดในยุคนี้จะเน้นการสร้างความแตกต่างในกิจกรรมทางการตลาด การนำเสนอสิ่งที่ต้นทุนต่ำเมื่อลูกค้าเทียบกับราคาที่จ่าย รวมถึงการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างทั่วถึงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
วิวัฒนาการยุคที่ 5 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม (The Societal Marketing Concept) ยุคนี้จะเป็นยุคที่นักการตลาดเน้นความรับผิดชอบเพิ่มเติมจากการสร้างความพึงพอใจ และความสุขให้กับผู้บริโภคโดยเน้นกิจกรรมทางการี่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อ สร้างความแตกต่างในความรู้สึก และความผูกพันต่อผู้บริโภคมากกว่าคู่แข่งขัน
วิวัฒนาการยุคที่ 6 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นนวัตกรรมทางการตลาด (The Marketing Innovation Concept) จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันอะไร ๆ ก็ต้อง IT การตลาดยุคปัจจุบันนี้นักการตลาดการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการทำการตลาดมากขึ้นทำให้กลยุทธ์ทางการตลาดใหม่เเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนักการตลาดจะให้ความสำคัญต่อฐานของมูลของลูกค้าและทำให้โลกทางด้านการตลาดแคบลงอย่างมาก
2. ความหมายของการตลาด (Marketing Defined)
การตลาดจะหมายถึง กิจกรรมที่ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอสูงสุด
และกำไรจะเกิดขึ้นในระยะยาวสำหรับธุรกิจ
ซึ่งความพึงพอใจของผู้บริโภคเราวัดจากอะไรได้บ้างในมุมมองของนักการตลาดในปัจจุบัน
เราจะพบว่าความพึงพอใจของผู้บริโภคเราจะวัดจากรูปธรรมที่วัดได้
ถามว่ารูปธรรมที่วัดได้ เราวัดความพึงพอใจของผู้บริโภคเราวัดจากอไร ง่าย ๆ ครับ
เราจะวัดจากการตัดสินใจซื้อนั้นเอง หลายคนถามว่า บางครั้งผู้บริโภคซื้อ
แต่ซื้อไปบ่นไป ถามว่าลูกค้าพอใจหรือเปล่า ในฐานะที่เราเป็นนักการตลาดเราถือว่า
ถ้าซื้อเมื่อไร
ลูกค้าพอใจทันที่ครับมุมมองการตลาดของลูกค้ากับนักการตลาดจะมีความแตกต่างกันนะครับ
โดยหากเป็นมุมมองของนักการตลาด เราจะคุ้นเคยกันดีกับคำว่า 4 P และมุมมองของลูกค้าเราจะรู้จักกันใน 4 C นั้นเอง
แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้ง 4 P’s และ 4 C’s จะมีมุมมองที่เหมือนกันแต่จะต่างกันในแง่ที่ใครเป็นคนมองนั้นเอง ซึ่งในที่นี้จะเปรียบเทียบให้เห็นได้ดังนี้
มุมมองของนักการตลาด
1.ผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการ(Product)
2.การตั้งราคาที่เหมาะสม(Price)
3.ระบบจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้า(Place)
4.การส่งเสริมการตลาดได้ดึงดูดใจ(Promotion)
มุมมองลูกค้า
1. ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ (Customer)
2. ซื้อในราคาย่อมเยา (Cost)
3. สะดวกในการหาซื้อ (Convenience)
4. การสื่อสารทางการตลาด (Communication)
จะเห็นได้ว่านักการตลาดจะสร่าสนประสมทางการตลาดขึ้นมาเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภคและหาวิธีการที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดการตัดสินใจซื้อ
ในมุมมองระหว่าง 4
P กับ 4 C สัมพันธ์กันดังนี้
P
ตัวแรกคือ P-Product นักการตลาดจะแสวงหาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าไม่ว่าจะเป็นในเรื่องรสชาติ
คุณประโยชน์ของสินค้า ฯลฯ
ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้เมื่อนักการตลาดสร้างขึ้นจะทำให้ผู้บริโภครับรู้และเกิดความต้องการซื้อเมื่อลูกค้าเกิดความต้องการดังนั้น
P แรกจึงสัมพันธ์กับ C ตัวแรกก็คือ C-Customer
นั้นเอง C ตัวแรกนี้จะแสดงให้เห็นถึงมุมมองของลูกค้าในการตัดสินใจซื้อสินค้า
ลูกค้าจะต้องแน่ใจว่าสินค้าเหล่านั้นเมื่อซื้อไปแล้วจะต้องตอบสนองในสิ่งที่ลูกค้าต้องการนั้นเอง
P
ตัวที่สองคือ P-Price นักการตลาดจะต้องมีการกำหนดราคาสินค้าและบริการให้เหมาะสม
โดยในความเหมาะสมนี้นักการการตลาดส่วนใหญ่จะเน้นที่ต้นทุนและกำไรที่ต้องการ
โดยต้องสอดคล้องกับ C ตัวที่สองของลูกค้า นั้นคือ C-Cost
นั้นเองโดยลูกค้าเมื่อซื้อสินค้า
จะคำนึงถึงการซื้อสินค้าในราคาที่ย่อมเยาและเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าที่จะจ่าย
P
ตัวที่สามคือ P-Place ใน P นี้นะครับนักการตลาดหลายคนให้ความสำคัญแค่เพียง
Place
ที่เป็นสถานที่เท่านั้นแต่ในความเป็นจริงแล้ว P-Place ยังประกอบไปด้วยช่องทางการจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้า
โดยอาจจะผ่านตัวกลาง ตัวแทน และนายหน้า
เพื่อทำลูกค้ามีความสะดวกต่อการตัดสินใจซื้อซึ่งก็สอดคล้องกับ C ตัวที่สามในมุมมองผู้บริโภคคือ C-Convenience to Buy นั้นเอง
P
ตัวสุดท้ายครับ P-Promotion เป็น P ที่เราทราบกันดีในชื่อของการส่งเสริมการตลาดซึ่งประกอบไปด้วย
การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย การขายโดยพนังงานขาย และ
การตลาดแบบตรงนั้นเอง โดยนักการตลาดจะมุ่งเน้นการส่งเสริมการตลาดไปยังกลุ่มลูกค้า
โดยใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการสื่อสาร และจะสอดคล้องกับ C ตัวที่สี่
ในมุมมองของผู้บริโภคคือ C-Communication ที่เป็นการสื่อสารทางการตลาดที่ผ่านสื่อทั้งภาพ
เสียง สิ่งพิมพ์ และสื่อบุคคล เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข่าวสารจากนักการตลาดนั้นเอง
ซึ่งความพึงพอใจของผู้บริโภคเราวัดจากอะไรได้บ้างในมุมมองของนักการตลาดในปัจจุบัน เราจะพบว่าความพึงพอใจของผู้บริโภคเราจะวัดจากรูปธรรมที่วัดได้ ถามว่ารูปธรรมที่วัดได้ เราวัดความพึงพอใจของผู้บริโภคเราวัดจากอไร ง่าย ๆ ครับ เราจะวัดจากการตัดสินใจซื้อนั้นเอง หลายคนถามว่า บางครั้งผู้บริโภคซื้อ แต่ซื้อไปบ่นไป ถามว่าลูกค้าพอใจหรือเปล่า ในฐานะที่เราเป็นนักการตลาดเราถือว่า ถ้าซื้อเมื่อไร ลูกค้าพอใจทันที่ครับมุมมองการตลาดของลูกค้ากับนักการตลาดจะมีความแตกต่างกันนะครับ โดยหากเป็นมุมมองของนักการตลาด เราจะคุ้นเคยกันดีกับคำว่า 4 P และมุมมองของลูกค้าเราจะรู้จักกันใน 4 C นั้นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้ง 4 P’s และ 4 C’s จะมีมุมมองที่เหมือนกันแต่จะต่างกันในแง่ที่ใครเป็นคนมองนั้นเอง ซึ่งในที่นี้จะเปรียบเทียบให้เห็นได้ดังนี้
มุมมองของนักการตลาด
1.ผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการ(Product)
2.การตั้งราคาที่เหมาะสม(Price)
3.ระบบจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้า(Place)
4.การส่งเสริมการตลาดได้ดึงดูดใจ(Promotion)
มุมมองลูกค้า

โดยการตลาดมีวิวัฒนาการในรูปแบบของแนวคิดทางการตลาดจนถึงปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 6 ยุคดังนี้คือ
วิวัฒนาการยุคที่ 1 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่เน้นการผลิตหลัก (The Production Concept) ในยุคนี้เป็นยุคที่สินค้าในท้องตลาดมีจำนวนน้อยกว่าความต้องการของผู้บริโภค นักการตลาดต้องสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคต่อตัวสินค้าค่อนข้างมาก ในยุคนี้ผู้ประกอบการจะมุ่งเน้นการผลิตสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดเพื่อทำให้ลูกค้ารู้จักตัวสินค้า การกำหนดราคาส่วนใหญ่ขึ้นกับอำนาจการต่อรองระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ โดยการจัดจำหน่ายจะมุ้งเน้นการสร้างการรับรู้ในการใช้สินค้า ซึ่งในยุคนี้หากเรายังจำได้กาส่งเริมการตลาดในยุคนี้ จะเน้นการสร้างการทดลองใช้สินค้าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างทันที โดยเครื่องมือทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ที่เราจำได้ก็ได้แก่การายหนังเร่พร้อมกับการขายสินค้านั้นเอง
วิวัฒนาการยุคที่ 2 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่เน้นประโยชน์ที่ได้รับจากตัวผลิตภัณฑ์ (The Product Concept) ยุคนี้สินค้าเริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ผู้บริโภครูจักการใช้สินค้ามากขึ้น โดยการเลือกใช้สินค้าผู้บริโภคจะมีการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ต้องจ่าย ยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นในการนำสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด เช่นแต่เดิมผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้าจะเป็นก้อนแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์แบบผงแทนและได้รับความนิยมอย่างสูง จนแบบเดิมหายไปซึ่งยุคนี้การจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้ายังอยู่ในวงจำกัด และกิจการไม่จำเป็นต้องมีวิธีการในการส่งเสริมการขายมากนักเพียงแต่เน้นการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการของลูกค้าก็พอ
วิวัฒนาการยุคที่ 3 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการขายเป็นหลัก (The Selling Concept or Sales Concept) ยุคนี้เป็นยุคที่มีการแข่งขันที่สูงเนื่องด้วยจำนวนสินค้าและบริการมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นนักการตลาดจึงเน้นการแข่งขันกันมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางด้านสินค้า ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด ยุคนี้เป็นยุคที่นักการตลาดใช้เป้าหมายในเรื่องของยอดขายเป็นหลัก ทำให้นักการตลาดมุ่งเน้นแต่การขายและขายเพียงอย่างเดียวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายจนลืมความสำคัญของนักการตลาดที่ดีไป
วิวัฒนาการยุคที่ 4 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการตลาดเป็นหลัก (The Marketing Concept) เป็นยุคที่นักการตลาดเน้นกิจกรรมทางการตลาดที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยการตลาดยุคนี้จะถือว่าความต้องการของลูกค้าเป็นพระเจ้า อะไรที่ลูกค้าต้องการนักการตลาดจะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า โดยนักการตลาดในยุคนี้จะเน้นการสร้างความแตกต่างในกิจกรรมทางการตลาด การนำเสนอสิ่งที่ต้นทุนต่ำเมื่อลูกค้าเทียบกับราคาที่จ่าย รวมถึงการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างทั่วถึงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
วิวัฒนาการยุคที่ 5 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม (The Societal Marketing Concept) ยุคนี้จะเป็นยุคที่นักการตลาดเน้นความรับผิดชอบเพิ่มเติมจากการสร้างความพึงพอใจ และความสุขให้กับผู้บริโภคโดยเน้นกิจกรรมทางการี่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพื่อ สร้างความแตกต่างในความรู้สึก และความผูกพันต่อผู้บริโภคมากกว่าคู่แข่งขัน
วิวัฒนาการยุคที่ 6 เป็นแนวคิดทางการตลาดที่มุ่งเน้นนวัตกรรมทางการตลาด (The Marketing Innovation Concept) จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันอะไร ๆ ก็ต้อง IT การตลาดยุคปัจจุบันนี้นักการตลาดการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการทำการตลาดมากขึ้นทำให้กลยุทธ์ทางการตลาดใหม่เเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนักการตลาดจะให้ความสำคัญต่อฐานของมูลของลูกค้าและทำให้โลกทางด้านการตลาดแคบลงอย่างมาก
4. ความสำคัญของการตลาด (The Importance of Marketing)
โดยทั่วไปในความหมายของคำว่า ตลาด
ในมุมมองของนักการตลาดจะมีความสำคัญมาก เพราะตลาดที่จะกล่าวถึง จะเป็นที่ ๆ
นักการตลาดได้พบกับลูกค้านั้นเอง
ดังนั้นหากนักการตลาดสามารถศึกษาถึงความสำคัญของตลาดแล้ว
นักการตลาดก็สามารถทราบความต้องการของลูกค้าในตลาดนั้นเองในที่นี้จะแบ่งตลาดออกเป็น
4 ประเภทหลักๆดังนี้
ตลาดประเภทที่ 1
ตลาดผู้บริโภค (Consumer Market) เป็นตลาดที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปใช้เอง
การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดของนักการตลาดจะต้องคำนึงถึงการตัดสินใจซื้อของลูกค้าเฉพาะบุคคลดังนั้นนักการตลาดต้องศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเป็นหลัก
ตลาดประเภทที่ 2 ตลาดอุตสาหกรรม (Industrial Market) เป็นตลาดที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปแล้ว นำไปดำเนินการอื่น ๆ ต่อ เช่น ซื้อสินค้าไปเพื่อขายต่อ นำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิต หรือนำไปใช้สำนักงานเป็นต้น โดยตลาดสินค้าแบบนี้เราอาจจะเรียกว่า ตลาดผู้ผลิต หรือ ตลาดธุรกิจก็ได้ ดังนั้นนักการตลาดจะต้องศึกษาพฤติกรรมการซื้อขององค์การเป็นหลัก (Organizational buyer’s behavior) เพราะบุคคลที่ทำหน้าที่ในการจัดซื้อ จะซื้อสินค้าเหล่านี้ในลาดโดยจะคำนึงถึงนโยบายของบริษัทเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่สินค้าในตลาดนี้จะแข่งขันกันในเรื่องการบริการ
ตลาดประเภทที่ 3 ตลาดรัฐบาล (Government Market) ตลาดประเภทนี้นักการตลาดบางท่านอาจจัดรวมเข้ากับประเภทที่ 2 แต่สำหรับความคิดของผม ผมคิดว่าน่าจะแยกครับ เพราะการซื้อสินค้าการภาครัฐแบบนี้ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่พิเศษ แตกต่างจากการซื้อสินค้าของเอกชน เพราะโดยส่วนใหญ่ภาครัฐจีการจัดซื้อ จัดจ้าง ที่เป็นลักษณะเฉพาะ โดยในแต่ละหน่วยงาน จะมีวิธีการที่คล้าย ๆ กัน ตามที่นโยบายกลางเป็นผู้กำหนด ดังนั้นนักการตลาดจะต้องทำความเข้าใจในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ดี มิฉะนั้นอาจเกิดความเสียหายกับบริษัทได้
ตลาดประเภทที่ 2 ตลาดอุตสาหกรรม (Industrial Market) เป็นตลาดที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปแล้ว นำไปดำเนินการอื่น ๆ ต่อ เช่น ซื้อสินค้าไปเพื่อขายต่อ นำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิต หรือนำไปใช้สำนักงานเป็นต้น โดยตลาดสินค้าแบบนี้เราอาจจะเรียกว่า ตลาดผู้ผลิต หรือ ตลาดธุรกิจก็ได้ ดังนั้นนักการตลาดจะต้องศึกษาพฤติกรรมการซื้อขององค์การเป็นหลัก (Organizational buyer’s behavior) เพราะบุคคลที่ทำหน้าที่ในการจัดซื้อ จะซื้อสินค้าเหล่านี้ในลาดโดยจะคำนึงถึงนโยบายของบริษัทเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่สินค้าในตลาดนี้จะแข่งขันกันในเรื่องการบริการ
ตลาดประเภทที่ 3 ตลาดรัฐบาล (Government Market) ตลาดประเภทนี้นักการตลาดบางท่านอาจจัดรวมเข้ากับประเภทที่ 2 แต่สำหรับความคิดของผม ผมคิดว่าน่าจะแยกครับ เพราะการซื้อสินค้าการภาครัฐแบบนี้ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่พิเศษ แตกต่างจากการซื้อสินค้าของเอกชน เพราะโดยส่วนใหญ่ภาครัฐจีการจัดซื้อ จัดจ้าง ที่เป็นลักษณะเฉพาะ โดยในแต่ละหน่วยงาน จะมีวิธีการที่คล้าย ๆ กัน ตามที่นโยบายกลางเป็นผู้กำหนด ดังนั้นนักการตลาดจะต้องทำความเข้าใจในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ดี มิฉะนั้นอาจเกิดความเสียหายกับบริษัทได้
ตลาดประเภทที่
4 ตลาดระหว่างประเทศ
(International Market) เป็นตลาดประเภทสุดท้ายครับ
โดยตลาดนี้จะเป็นตลาดของภาครัฐหรือเอกชนก็ได้
ทั้งที่ลูกค้าซื้อไปใช้เองหรือซื้อไปขายต่อก็ได้ แต่
แนวคิดหลักของตลาดแบบนี้จะอยู่ที่ กลุ่มลูกค้าจะไม่ใช่ คนไทย
หรือถ้าเป็นคนไทยก็ต้องเป็นคนไทยที่อยู่ในตลาดต่างประเทศ ตลาดแบบนี้นักการตลาด
ควรวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในตลาดต่างประเทศให้ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องวัฒนธรรมของลูกค้าในประเทศ นั้นเพราะ
วัฒนธรรมของลูกค้าในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน และย่อมส่งผลต่อการซื้อที่แตกต่างกันด้วย
หน้าที่แรก ที่นักการตลาดต้องคำนึงถึงครับคือหน้าที่ในการวางแผนทางการตลาดครับโดยการวางแผนการตลาดสิ่งที่จะทำให้การวางแผนทางการตลาดประสบความสำเร็จนักการตลาดจะต้องมีข้อมูลสาระสนเทศทางการตลาดที่ถูกต้องเพื่อนำมาใช้ในการตลาดในที่นี้นักการตลาดจะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและเม่นยำในการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลนั้นนักการตลาดจะใช้วิธีการวิจัยตลาดมาเป็นหลักเกณฑ์ในการหาข้อมูลทั้งข้อมูลปฐมภูมิและข้อมูลฑุติยภูมิโดยทั่วไปนักการตลาดแบ่งข้อมูลออกเป็น
4 ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 ข้อมูลที่นักการตลาดเรียกว่า Database เป็นข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่นักการตลาดมีอาจจะใช้เมื่อไรก็ได้ และยิ่งมีมากเท่าไรเวลาที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้จะเป็นประโยชน์มากโดยทั่วไปเราเรียกข้อมูลประเภทนี้ว่าข้อมูลดิบนั้นเอง
ระดับที่ 2 ข้อมูลที่เราเรียกว่า Information หลายคนเรียกข้อมูลสารสนเทศ จริง ๆ แล้ว หากเราเปรียบข้อมูลเหมือนข้าวที่อยู่ในถุงยังไม่ได้หุง เราเรียกว่า Database แต่ถ้าเรานำข้าวสารมาใส่หม้อหุงข้าว ใส่น้ำ กดไฟ และเป็นข้าวที่เราพร้อมที่จะบริโภคเราเรียกข้อมูลเหล่านี้ว่าข้อมูลสารสนเทศในการวิจัยตลาดนั้นเอง
ระดับที่ 3 ข้อมูลที่เราเรียกว่า Knowledge เป็นข้อมูลที่สร้างเป็นองค์ความรู้ให้กับนักการตลาด เพื่อนำมาในการวางแผนการตลาดนั้นเอง
ระดับสุดท้าย เป็นข้อมูลที่นักการตลาดเรียกว่า Knowledge Management หรือ KM นั้นเอง ซึ่งข้อมูลประเภทนี้นักการตลาดจะสามารถนำไปใช้ในการอภิปรายผลและประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเองส่วนหน้าที่ที่สอง ของการตลาดการปฎิบัติการทางการตลาด หลังจากที่มีการวางแผนแล้วนักการตลาดจะต้องมีการปฎิบัติตามแผนที่วางแผนไว้ โดยการดำเนินการทางการตลาดจะประกอบไปด้วย การซื้อ การขาย การเก็บรักษาสินค้า การรักษามาตรฐานและระดับคุณภาพของสินค้า การขาย การขนส่ง การเงิน และ การรับประกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการทางการตลาดในหน้าที่นี้เป็นการดำเนินการที่ฝ่ายการตลาดจะมีหน้าที่ในการแปลงจากการวางแผนทางการตลาดเป็นการดำเนินการทางการตลาดโดยในระยะนี้จะเป็นระยะที่ผู้จัดการทางการตลาด
ระดับที่ 1 ข้อมูลที่นักการตลาดเรียกว่า Database เป็นข้อมูลพื้นฐานทั่วไปที่นักการตลาดมีอาจจะใช้เมื่อไรก็ได้ และยิ่งมีมากเท่าไรเวลาที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้จะเป็นประโยชน์มากโดยทั่วไปเราเรียกข้อมูลประเภทนี้ว่าข้อมูลดิบนั้นเอง
ระดับที่ 2 ข้อมูลที่เราเรียกว่า Information หลายคนเรียกข้อมูลสารสนเทศ จริง ๆ แล้ว หากเราเปรียบข้อมูลเหมือนข้าวที่อยู่ในถุงยังไม่ได้หุง เราเรียกว่า Database แต่ถ้าเรานำข้าวสารมาใส่หม้อหุงข้าว ใส่น้ำ กดไฟ และเป็นข้าวที่เราพร้อมที่จะบริโภคเราเรียกข้อมูลเหล่านี้ว่าข้อมูลสารสนเทศในการวิจัยตลาดนั้นเอง
ระดับที่ 3 ข้อมูลที่เราเรียกว่า Knowledge เป็นข้อมูลที่สร้างเป็นองค์ความรู้ให้กับนักการตลาด เพื่อนำมาในการวางแผนการตลาดนั้นเอง
ระดับสุดท้าย เป็นข้อมูลที่นักการตลาดเรียกว่า Knowledge Management หรือ KM นั้นเอง ซึ่งข้อมูลประเภทนี้นักการตลาดจะสามารถนำไปใช้ในการอภิปรายผลและประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเองส่วนหน้าที่ที่สอง ของการตลาดการปฎิบัติการทางการตลาด หลังจากที่มีการวางแผนแล้วนักการตลาดจะต้องมีการปฎิบัติตามแผนที่วางแผนไว้ โดยการดำเนินการทางการตลาดจะประกอบไปด้วย การซื้อ การขาย การเก็บรักษาสินค้า การรักษามาตรฐานและระดับคุณภาพของสินค้า การขาย การขนส่ง การเงิน และ การรับประกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการทางการตลาดในหน้าที่นี้เป็นการดำเนินการที่ฝ่ายการตลาดจะมีหน้าที่ในการแปลงจากการวางแผนทางการตลาดเป็นการดำเนินการทางการตลาดโดยในระยะนี้จะเป็นระยะที่ผู้จัดการทางการตลาด
6. ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix)

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น